ต้าเจีย เอ็ดดูเคชั่น | เรียนต่อประเทศจีนที่ต้าเหลียน

การเที่ยวจีน ของพวกเราเริ่มบินจากต้าเหลียน ( DLC ) จุดหมายคืออัลไต ( AAT ) ตอนนั้นไฟต์บินมีให้เลือกไม่มาก ไปอัลไตยังไม่มีไฟต์บินจากปักกิ่ง ( PKX ) แต่ตอนนี้ในปี 2025 มีไฟต์บินตรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เราจองโรงแรมที่หลานโจว โทรคอนเฟิร์มไฟต์ และเวลาบินเรียบร้อย ค่ำๆบินไปลงหลานโจว ( LHW ) แล้วนอนที่โรงแรม Airport Huahai Hotel 1 คืน โรงแรมราคาไม่แพงอยู่ใกล้สนามบิน กี่โมงก็มีรถรับส่งสนามบินฟรี
ตอนเช้าเราตื่นมาเพื่อกินอาหารเช้าในโรงแรม เป็นบะหมี่เส้นสดเนื้อหลานโจว เป็นของขึ้นชื่อของหลานโจวเลย ดูเหมือนไม่อร่อยเพราะเส้นเยอะเนื้อน้อย แต่อร่อย เส้นสดอร่อย ซุปมีกลิ่นพริกไทยหน่อยๆ เนื้อไม่มีกลิ่นรุนแรงอะไร พอกินเสร็จเราก็ไปสนามบินโดยรถฟรีของโรงแรมที่ได้จองไว้แล้ว รถไปส่งถึงสนามบินหลานโจว

ตั้งแต่สนามบินหลานโจวจะไม่ค่อยเหมือนในเมืองที่หากินหมูได้ง่าย ป้าย “NO HALAL FOOD IS NOT ALLOWED” มีอยู่ตลอดในร้านในสนามบิน ทีแรกเราไม่ได้ซื้อกระเป๋าโหลด เพราะเอากระเป๋า 20” มา ซึ่งปกติไม่ต้องโหลด แต่ใหญ่เกินกว่า SPRING AIRLINE จะให้ CARRY ON เลยต้องจ่ายเงินเพิ่มหน้าเคาท์เตอร์เพื่อโหลดกระเป๋า จากนั้นก็โทรจองรถรับที่โรงแรมอัลไต


ระหว่างทางจากหลานโจวถึงอัลไต เครื่องบินเล็ก ( AIRBUS A320 ) และบินกลางวัน ( 11:40 – 14:55 ) ด้วยทำให้รู้สึกเครื่องบินสั่นตลอดเลย ลมแรงมาก พอเครื่องจะลงก็เห็นอยู่เลยว่าเมืองเป็นภูเขาหิมะปกคลุมไปหมด
สนามบินอัลไต เป็นสนามบินที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยไปมาเลย เล็กกว่าแคปปาโตเกียที่ตุรกีอีก เลนรับกระเป๋ามีเลนเดียว และตรงเลนรับกระเป๋าจะเห็นได้เลยว่า คนส่วนใหญ่ที่มานั้นมาเล่นสโนวบอร์ดหรือสกีเพราะพกบอร์ดส่วนตัวมาด้วย

ชั่วโมงที่บินถึงอัลไตประมาณลบสิบองศา รอไม่นานรถของโรงแรมก็มารับที่สนามบิน พร้อมกับเปิดเพลงคล้ายๆเพลงแขกไปตลอดทาง รถไม่ติดเลยสักนิด ไม่ถึงสิบนาที ก็มาถึงโรงแรมแล้ว
คราวนี้เรามากันแบบ Backpack ไม่ได้เช่ารถพร้อมคนขับ แต่เป็นการเดินทางแบบไปเรื่อยๆ เดินทางแบบคนท้องถิ่น
อัลไตเป็นเมืองขนาดหมื่นตารางกม.ใหญ่กว่านครศรีธรรมราชเล็กน้อย ผู้คนมีอยู่บางตา อาจจะเป็นเพราะยังเป็นช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็น Low season ของทางจีน
เราเก็บของในโรงแรมแล้ว ก็ให้โรงแรมเรียกรถให้ การเรียกรถที่นี่ค่อนข้างแปลกนิดนึง คือเราจะไม่เรียก DiDi กัน แต่รถรับจ้างจะมีกลุ่ม WECHAT ทุกคันในเมืองแล้วก็มีโรงแรมในกลุ่มนั้น ทั้งเมืองคงจะมีไม่เยอะ เราต้องบอกสถานที่ที่เราจะไปกับโรงแรม แล้วโรงแรมก็จะเป็นคนเรียกรถให้ รอรถไม่นานเกิน 10 นาที
เราเริ่มไปกันที่ HUALIN PARK เป็นสวนสาธารณะไม่มีค่าเข้า ขนาดใหญ่มีทั้งน้ำแข็งแกะสลักและธารน้ำแข็ง บรรยากาศสุดจะชิล นั่งเล่นที่ลำธารสักพักก็รู้สึกเริ่มหนาว อุณหภูมิลดค่อนข้างเร็วกลางวันลบสิบ กลางคืนบางวันลบถึงยี่สิบแม้ว่าจะเป็นเดือนสามแล้วแต่ที่นี่ยังคงหนาวกว่าที่อื่น แต่หลายคนก็ยังคงถือไอติมกินกันเป็นปกติ




ออกจาก PARK เรียกรถผ่านโรงแรมเหมือนเดิมไป DOWNTOWN รอรถไม่นานที่นี่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายขับรถเลย พอถึง DOWNTOWN ก็กินบะหมี่เนื้ออีกแล้ว อร่อยดี
DOWNTOWN เป็นโซนเมืองที่เล็กมากๆ คนน้อยด้วย เดินตามตึกก็เป็นห้างเปิดฮีตเตอร์ไม่ร้อนมาก แบบเงียบเหงาเหลือเกิน แต่ก็มีของใช้ครบครันนะ เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ต่างๆ อากาศเริ่มหนาวมากแล้วลบเกือบ 2 ได้ พวกเราก็กลับโรงแรมโดยเรียกรถวิธีเดิม


พอกลับโรงแรมแล้วก็สั่งอาหารมากินกัน แม้ว่าคนไม่เยอะแต่ Delivery มาส่งไม่ช้ามาก มีร้านให้เบือกพอสมควรเลย ที่โรงแรมมีหุ่นส่งอาหารด้วยนะ หุ่นจะอยู่ชั้น 1 พอคนส่งอาหารมาถึงก็จะเอาอาหารใส่ไว้ในหุ่นแล้วกดเลขห้อง พอหุ่นมาถึงห้องที่นี่จะโทรเรียกเป็นหุ่นยนต์เลยโทรลิงค์เข้ามากับโทรศัพท์ของห้องว่าอาหารมาถึงแล้ว บางที่จะเป็นหุ่นกดออดห้องว่ามาถึงแล้ว
ฝั่งwaidi นี่มึดช้ามาก สองทุ่มยังสว่างอยู่เลย แต่ก็สว่างช้าเช่นกันแปดโมงเช้ายังมึดอยู่เลย
วันถัดมาหนาวกว่าเดิม ลบยี่สิบแต่เช้าเลย เราเรียกรถแบบเดิมแต่คราวนี้ลิสต์สถานที่ที่จะไปแล้วคนขับบอกว่าที่ที่เราจะไป ไม่ค่อยมีอะไรนะ แต่ไปลองวนๆดู เดี๋ยวจอดรถแล้วให้ลงไปถ่ายรูปอาจจะได้นิดหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวพาไปชมที่อื่นๆ คนขับเป็นคนพื้นที่ ขับยรถพาบุกหิมะเข้าไปในสถานที่ต่างๆไม่กลัวรถพังเลยเรายังกลัว เพราะหิมะสูงมาก สถานที่ต่างๆที่นี่ คนไม่เยอะเลยดูเหมือนคนที่นี่จะไม่ชอบหน้าหนาว ขนาดคนขับที่เป็นคนพื้นที่ยังบอกว่าอิจฉาคนไทยนะมีผลไม้ดอกไม้ต้นไม้สีเขียวอากาศอบอุ่นทั้งปีเลย ทางนี้หนาวขาวโพลนไปหมดไม่เห็นจะมีอะไรเลย คนจะคึกคักตอนช่วงหน้าร้อน พอถ่ายรูปสถานที่ต่างๆรอบๆเมืองแล้ว พี่คนขับก็มาปล่อยพวกเราไว้ที่ร้านเห็ดผัดชื่อดังของเมือง อร่อยดีนะ แล้วเราก็เดินๆๆชมเมืองกันเล็กน้อย ก่อนกลับโรงแรมไปพักผ่อนเพราะไม่ค่อยสบาย อาจจะเพราะอากาศหนาวผิดจากต้าเหลียนไปหน่อย แล้วตอนเย็นก็ไปกินปิ้งย่างแถวโรงแรม และคุยกับโรงแรมขอออกเลทพร้อมจ่ายค่าออกเลทไป แล้วเราก็เตรียมเก็บของเดินทางไปอุรุมชีกันต่อ




จากอัลไตพวกเรานั่งรถไฟตู้นอนไปอุรุมชีบางวันมีรถ 2 รอบ บางวันมี 3 รอบ เราจองผ่าน 12306 นั่ง ที่นอนแบบเป็นห้อง 4 คน มีเตียง 2 ชั้น ซ้ายขวา ห้องสามารถวางได้ทั้งเป๋าใหญ่เป๋าเล็ก ไม่สามารถจองทั้งห้องได้ 1 คน จองได้ 1 ที่เท่านั้น ทีแรกพวกเราก็กังวลเรื่องคนที่จะได้ห้องเดียวกันอยู่เล็กน้อย แต่โชคเข้าข้าง อีก 2 คนที่นอนห้องเดียวกับเราเป็นชาวเมือง มาถึงรถแล้วเรารอเค้าเข้าไปจัดกระเป๋ากันก่อน พอจัดเสร็จเค้าก็ออกไป เราก็ไปจัดที่นอน เพราะเป็นตู้นอนครั้งแรก เราพกชุดคลุมเครื่องนอน และม่านบนรถไฟแบบใช้แล้วทิ้งมาเอง แต่บนรถเครื่องนอนต่างๆก็ดูสะอาดอยู่แล้วนะ พอเราจัดกระเป๋ากันเสร็จก็ไปถ่ายรูปเล่น เดินไปดูตู้สะเบียงมีคาราโอเกะ เดินดูหน้าต่างที่เป็นน้ำแข็ง แต่ในรถใส่เสื้อยิดจัวเดียวได้ เสร็จแล้วก็กลับมานอน แล้วอีก 2 คนเข้ามาทีหลังแต่เสียงเบามากแบบเกรงใจกัน โชคดีมากเลยที่มีเพื่อนร่วมห้องเป็น 2 คนนี้





เช้าแล้วก็มาถึงอุรุมชี สมเป็นเมืองหลักของฝั่งนี้พอเจอคนที่อุรุมชีเรารีบจองรถไปอีหนิงแบบ BC ทันที เพราะคนเยอะมากๆ จากสถานีไปโรงแรมเราใช้วิธีเดินไปเพราะใกล้ ออกมาจากสถานีก็คนเยอะมาก สองข้างทางมีแต่คนมาเรียกว่าจะไปไหนๆ เดินไม่ถึง 5 ก็ถึงโรงแรมแล้ว ที่จริงเห็นโรงแรมตั้งแต่ออกมาจากหน้าสถานีแล้ว โรงแรมดีเลยนะ ห้องใหญ่มีฮีกเตอร์อุ่นๆ มีอ่างอาบน้ำ พอจัดของเสร็จเราก็เรียกรถเข้าโซนเมืองกัน ที่นี่เรียก DiDi ได้ปกติเลย



พอขึ้นรถก็มีอันนึงที่ต้องแปลกใจคือระหว่างคนขับ กับคนนั่งข้างหลังมีแผงเหล็กกั้นอยู่ เราเคยถามคนขับรถซึ่งเป็นผู้หญิงว่าเป็นเพราะอะไรถึงต้องมีเหล็กกั้น พี่คนขับเล่าให้ฟังว่าสักยี่สิบปีก่อนมีเด็กวัยรุ่นเมาแล้วเอามีดปาดคอคนขับเสียชีวิตทุกคันทั่วเมืองเลยติดแบบนี้ไปหมด แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปก็ไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรอีก แต่ไม่ได้เอาออกเพราะว่าติดแล้วก็เลยตามเลย มาถึงในเมืองแล้ว เมืองนี้โซนเมืองดูยิ่งใหญ่อลังการคนเยอะมาก ตึกเยอะ ดูเป็นเมืองๆไม่ใช่ชนบท ข้างทางส่วนใหญ่ขายผลิตภัณฑ์นม ผลไม้อบแห้ง และแป้งอบหน้าตาคล้ายๆกับแป้งนานแต่หนากว่า ถ้ามาหลังจากนี้อีกสักเดือนจะได้เห็นคนขายผลไม้มากมาย แต่ว่ามาเร็วไปหน่อย



มีร้านที่รับแต่งหน้าแต่งตัวตามคนพื้นเมือง และยังมีการแสดงในร้านอาหารอีกด้วย เราเดินเล่นกันในบลาซ่าและถ่ายวีดีโอไปด้วยคนที่นี่ไม่เขินกล้อง และพร้อมที่จะยกมือทักทาย หรือพูดคุยกับกล้องด้วย ที่นี่มีตำรวจเยอะมากตลอดทาง มีตรวจสัมภาระเหมือนสนามบินในการเข้าสถานที่ต่างๆ และยังมีตรวจพาสปอร์ตบางจุดด้วย เดินมาตลอดทางมีอาหารมากมาย แต่ที่นี่มีแพะแกะเนื้อที่เราไม่กินค่อนเยอะเลยกลับไปกินที่โรงแรม และไม่คิดว่าเลือกผิดเลย อาหารที่โรงแรมอร่อยมาก เนื้อปลาสดมาก อร่อยทุกอย่างเลย โซนเมืองมีร้านชานมเยอะมากมายหลายแบบมาก เราจองตั๋วไปอีหนิงเรียบร้อยเเล้ว ไปอีหนิงเพราะประโยคนี้เลยนะ “想躺平 来伊宁”

เราเดินทางกันมาถึงสถานีอุรุมชีแล้วเข้าห้องรับรองของ BC เลย ถ้าเป็นเมืองใหญ่ คนเยอะ สนามบินใหญ่ก็แนะนำให้จอง BC จะสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องเร่งรีบ มาถึงสถานีก่อนแค่ 15 นาทีก็พอ ในห้องรับรองมีอาหารและน้ำดื่มบริการ พอใกล้ถึงเวลาที่ต้องเดินทาง เจ้าหน้าที่จะพาเราเดินทางพิเศษที่ไม่เจอผู้คนมากนักแต่ละขบวนจะมีจำกัดที่นั่ง อย่างขบวนที่เรานั่งจะมีแค่ 6 ที่ต้องรีบจอง แต่ละขบวนจะมีของคล้ายๆกัน คือมีพนักงานประจำตู้แยกจากคนอื่น พนักงานจะคอยดูแลเรื่องอาหารต่างๆ ผู้โดยสายต้องการอะไร มีน้ำดื่มน้ำชา อาหาร รองเท้าแตะ และห้องน้ำแยกเฉพาะที่สะอาด ระหว่างทางจากอุรุมชีไปอีกหนิง สองข้างมีหิมะอยู่บ้าง บ้างก็ละลายไปแล้ว และมีภูเขาหิมตลอดเส้นทาง


พอถึงอีหนิงเราก็ เรียก DiDi จากสถานีไปโรงแรมโรงแรมใหญ่มาก สถาปัตยกรรมใหญ่ๆเลยที่อีหนิง เรียกDiDI ได้เป็นปกติด้วยเมืองนี้ เราจะไปไซ่หลี่มู่หูกันเลยต้องจองรถจากอีหนิงไปปั๊วเล่อ ที่จริงจองไปจาก WECHAT ได้ แต่วันนั้นไม่มี เราเลยไปที่สถานีรถ เค้าบอกว่าวันนี้ไม่มีรถไปปั๋วเล่อ มีแค่บางวัน บอกไม่ได้ล่วงหน้าด้วยว่าวันไหนมีหรือไม่มี วันนี้ไม่มีพรุ่งนี้มาใหม่ พออีกวันมีรถพอดี แต่culture shock อยู่ คือตอนที่เราขึ้นรถมีกันไม่กี่คน แต่กว่าจะถึงปลายทางคนเต็ม คนขับจะแวะรับขึ้นมาเรื่อยๆจากข้างทาง




การนั่งรถตามๆกันไปแบบนี้ก็มีข้อดีตรงได้พบผู้คนเพื่อนใหม่มากมาย เจอคุณลุงคนนึงถามว่ามาจากเน่ยตี้กันหรอ แล้วคุณลุงก็ยังบอกอีกว่าให้นั่งฝั่งซ้ายนะเพราะวิวสวยกว่า เจอเด็กมหาลัยคนนึงพูดเก่งมากตลอดทาง เล่าให้ฟังว่าตัวเองเพิ่งมาจากอัลไตเหมือนกัน เดิมเป็นคนเน่ยตี้ แต่ออกมาเที่ยว เที่ยวถึงไหนเงินหมดก็ต่ากง ทำงาน ทำงานได้เดือนนึงทมี่อัลไต พอมีเงินก็ออกไปเที่ยวอีกเรื่อยๆ และกำลังจะไปไซ่หลี่มู่หูเหมือนกัน ก็เลยได้ไปด้วยกันเลย
กว่าจะถึงไซ่หลี่มู่หูก็บ่ายแล้ว เพราะรถแวะรับคนและขับช้าตลอดทาง พวกเรารีบไปซื้อตั๋วรถรอบไซ่หลี่มู่หู ดูในรูปถึงไม่ใหญ่แต่ขนาดจริงวนรอบทะเลสาบนี้คือ 60 กิโลเมตรเลย ที่นี่อากาศหนาวแต่ไม่มีลม ทำให้รู้สึกไม่หนาวเท่าไหร่ รถขับวนไปเรื่อยๆมีจุดแวะพักเป็นจุดๆระหว่างทางตลอด บนรถมีแค่ห้าคน คุณลุงคนขับบอกว่าไม่ค่อยเจอคนไทยนะ ปีนึงจะเจอคนสองคนเอง





บนรถมีคู่รักอีกคู่ ผู้หญิงพูดเก่งมากมาจากกว่างโจว ถามคุณลุงตลอดทาง บอกเราว่าเนี่ยมาจากกว่างโจว นอนที่ไซ่หลี่มู่หูเลย ได้ยินว่าที่นี่ผลไม้ถูก ไม่เห็นจะถูกเลยที่กว่างโจวถูกกว่าอีก คุณลุงคนขับบอกว่าต้องรอฤดูกาลมันยังไม่มาถึง ที่นี่มีเสื้อผ้าขายด้วยตอนที่เราจะซื้อพี่ผู้หญิงกว่างโจวยังบอกว่าซื้อทำไม เช่าเอาถ่ายรูปก็พอ แต่เราก็ซื้อมานะ แม้จะเป็นเสื้อที่ดูใส่ไม่ได้หลายโอกาสก็ตาม ระหว่างทางเราก็แวพกินข้าวผัด พูดกันตามตรงก็ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่กับข้าวผัดไข่ราคาสามร้อยบาท เราวนจนรอบถ่ายรูปเรียบร้อย มีจุดสวยๆมากมาย แต่วันนี้ท้องฟ้าไม่เปิดฟ้ามากนัก แต่ยังได้เจอห่านเยอะแยะเลย ร้องเสียงดังมาก

ตอนจะกลับก็เรียกรถกลับพร้อมน้องคนจีนที่ตอนมามาพร้อมกันสามคน คนขับเดินรออยู่รอบๆมีคนคอยถามว่าไปอีหนิงไหมต่างๆ เราก็เลือกเอาสักคนหนึ่ง น้องคนจีนเป็นคนคุยได้มาในราคาคนละร้อยหยวนกลับอีหนิง ตลอดทางสวยมากเป็นภาเขาน้ำแข็งตลอด แต่พอมาถึงจุดเปลี่ยนเมืองแท็กซี่บอกให้ย้ายรถไปอีกคันจะขอเงินเพิ่ม แต่พวกเราไม่ยอม น้องคนจีนบอกว่าตกลงแล้วแต่แรกไม่ยอมเด็ดขาด สุดท้ายเราก็ได้ราคาเดิม ส่งถึงอีหนิง แล้วก็ลากัน

พอถึงโรงแรมพวกเราก็ไปเดินแถวๆโรงแรมดูว่ามีอะไรกินบ้าง แล้วเจอร้านที่มีเกี๊ยวหมู โอโหน้ำตาจะไหลพราก ออกจากต้าเหลียนเพิ่งเจอหมูครั้งแรกนี่ล่ะ กินเสร็จก็กินชาผลไม้ที่เอาผลไม้มาบดๆแล้วใส่ชาลงไปของ R&B ชื่อนี้จำได้เลย เพราะอร่อยแก้วใหญ่ใส่น้ำแข็งเยอะได้ด้วย

ที่อีหนิงดูเหมือนเป็นเมืองชิลๆมีสถานที่เที่ยวไม่มากนัก เหมาะกับการมาตากอากาศแบบสบายๆ เราไปเดินเล่นกันที่ถนนหกดาว ที่จริงดูเหมือนถนนหกเหลี่ยมมากกว่าตามผังเมือง มีที่ถ่ายรูปเล่นน่ารักๆ สีสดใสเต็มเลย แต่อาจจะเป็นเพราะหน้าหนาวเลยไม่คึกคัก ถนนหมินจู้เซียงที่ปกติคนมาถ่ายรูปซากุระกัน ก็ยังมีมีออกดอกเลยนอกจากนี้ยังมีขายลูกไก่ย้อมสีตามทางด้วย เมืองนี้มีรถติดในเมืองอยู่บ้างเพราะถนนไม่ใหญ่มาก ในโซนเมืองคนเยอะ และหน้าตาดูเหมือนชาวเอเชียกลาง ถ้ามีโอกาสจะมาอีกแน่นอน ชอบความชิลของที่นี่



ตอนกลับเอาอีกแล้วเรื่องกระเป๋า AIRASIA ชั่งน้ำหนักด้วยนะ ไม่ใช่ดูแค่ขนาด ค่าโหลด 480 หยวนแน่ะ พวกเรานั่งจากอีหนิงไปลงเฉิงตู แล้วต่อจากเฉิงตูกลับกรุงเทพ
